jos55 เทคนิคการสอนภาษาไทย
เปลี่ยนการแสดงผล thA-AA+

เทคนิคการสอนภาษาไทย


เทคนิคการสอนภาษาไทย

เฉลิมลาภ  ทองอาจ

โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ฝ่ายมัธยม

คณะครุศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

การพัฒนาการเรียนการสอนที่สำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ  การพัฒนาทักษะการสอนของครู  คำว่าทักษะการสอนในที่คือ  ความสามารถในการปฏิบัติการสอนด้านต่างๆ  อย่างชำนาญ  ซึ่งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอน  ซึ่งได้แก่  ความรู้ความเข้าใจเรื่องทฤษฎี/หลักการสอน  ระบบการสอน  รูปแบบการเรียนการสอน  วิธีสอนและเทคนิคการสอน  (ทิศนา  แขมมณี, 2548: 387) ในที่นี้กล่าวถึงเฉพาะแต่เทคนิคการสอน ซึ่งหมายถึง  ความรู้ต่างๆที่จะช่วยเสริมให้วิธีสอน  รูปแบบและระบบการสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ซึ่งเทคนิคการสอนนี้มีจำนวนมาก  เช่น  เทคนิคการตั้งคำถาม  เทคนิคการเสริมแรง  เทคนิคการยกตัวอย่าง  เทคนิคการใช้สื่อและอุปกรณ์ต่างๆ  (ทิศนา  แขมมณี,2548)  สำหรับเทคนิคการสอนบางส่วนที่เลือกมานำเสนอมีดังนี้

1.  เทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียน

                   การนำเข้าสู่บทเรียน  คือขั้นตอนก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้  มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้เกิดการผ่อนคลายจากกิจกรรมที่ทำมาก่อน  และสร้างแรงจูงใจภายในคือแรงกระตุ้นที่ทำให้เกิดความสนใจและความต้องการที่จะทำกิจกรรมของผู้เรียน  เทคนิคที่พบในการนำเข้าสู่บทเรียน  เช่น  การนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการใช้สื่อการสอน  เช่น  ใช้ภาพ  หุ่นจำลอง  ของจริง  สไลด์  ภาพยนตร์  แผนภูมิ  แผนที่  ลูกโลก  หรือกิจกรรมต่างๆเช่น  การร้องเพลง  การขับเสภา  การเล่านิทาน  การเล่าเรื่อง  การแสดงบทบาทสมมติ  และเกมต่างๆเพื่อกระตุ้นความสนใจ  (สุจริต  เพียรชอบ, 2530: 83)  หรือ  หากต้องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในเชิงทักษะสัมพันธ์  คือการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องใช้ทักษะทางภาษา คือฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างสัมพันธ์กันไปตลอดการเรียนรู้  ในขั้นนำนั้น  ก็ควรใช้การฟัง  การอภิปราย  การซักถาม  การอ่านออกเสียง  การอ่านข้อความจากแผนภูมิ  การอ่านในใจเอกสารที่ครูแจกให้  หรือการเขียนสรุป  วิจารณ์แสดงความคิดเห็นในส่วนที่เรียนมาแล้ว  ตัวอย่าง  การสอนวรรณคดีเรื่อง  พหุบาทสัตวาภิธาน  อาจนำเข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักเรียนพิจารณาภาพสัตว์สองเท้า  สี่เท้า  หรือสัตว์ที่ขามากกว่าสี่เท้า  แล้วให้นักเรียนพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้น  (สุจริต เพียรชอบ, 2530: 150)

แนวคิดที่สำคัญในการนำเข้าสู่บทเรียนคือการสร้างลักษณะจิตเชิงบวก (A Positive  mental )

ซึ่งหมายถึง  ทัศนคติของจิตที่นักเรียนที่เตรียมจะอุทิศตนโดยการมุ่งตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ และมีจิตใจอุตสาหะที่จะทำกิจกรรมที่ครูได้กำหนดขึ้น  (Kyriacou, 1991: 51)   เมื่อย้อนกลับมาในการปฏิบัติการสอนในชั้นเรียน  การนำเข้าสู่บทเรียนส่วนใหญ่  มักจะใช้การหัวข้อเรื่องหรือกิจกรรมซึ่งมีความสัมพันธ์มานำ  แต่ในบางครั้งครูก็อาจประสบภาวะหยุดชะงักได้ หากมีนักเรียนแม้เพียงคนเดียวไม่สนใจ  ซึ่งมีข้อแนะนำว่า  หากครูเสนอหัวข้อเรื่อง  จะมีวิธีการอย่างไรที่จะดึงความสามารถและความสนใจของผู้เรียนออกมา  ในที่นี้วิธีที่ดีที่สุดคือการควบคุมเสียงของตนเองให้มีน้ำเสียงแสดงความน่าสนใจ  ความมุ่งหมายที่แจ่มชัดหรือความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องราวที่จะตามมา

ครูสามารถใช้หลักเกณฑ์เรื่องการสร้างจิตใจตรวจสอบว่านักเรียนทุกคนมีความพร้อมและเตรียมตัวที่จะเริ่มต้นบทเรียน  ในขณะนี้ให้ครูพิจารณาว่า  ยังมีกระเป๋าของนักเรียนวางอยู่บนโต๊ะ  หรือนักเรียนบางคนยังยืนคุยอยู่กับคนอื่นอยู่  หรือมองหาหนังสือแบบฝึกหัดที่ไม่ใช่ของตนเองหรือไม่  หากยังมีเหตุการณ์ลักษณะนี้  มีอยู่ทักษะหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ การตัดสินใจว่าจะหยุดพักก่อนการนำเพื่อเตรียมห้องโดยพิจารณาความเรียบร้อย  หรือไม่ก็เริ่มเข้าสู่บทเรียนโดยไม่มีเงื่อนไขทันที (Kyriacou, 1991)   ซึ่งอย่างหลังนี้นักเรียนจะต้องรีบให้ความสนใจครูทันทีเพราะเห็นว่าครูไม่รอ

ความรู้ที่จะช่วยให้ครูใช้เทคนิคการนำเข้าสู่บทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือการวิเคราะห์ลักษณะการสอน (Teaching  Style) ของครู  และลักษณะการเรียนรู้ของนักเรียน ( Learning Style)  ซึ่งลักษณะการสอนของครูโดยเฉพาะในการนำสู่บทเรียนนั้น  หากครูเริ่มต้นแนะนำแนวคิดหรือข้อเท็จจริงจนกระทั่งนักเรียนเริ่มที่จะเข้าใจแนวคิดหรือเรื่องนั้นๆ  ครูผู้นั้นจะมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ  “การสอนเชิงวิเคราะห์” (Analytic teaching) ซึ่งต้องเกิดจากกระบวนการวิเคราะห์ในการสอน  กล่าวคือ  จิตใจของนักเรียนจะต้องซึมซับข้อมูลชิ้นเล็กๆจำนวนมาก  แล้วนำไปสังเคราะห์ขึ้นเป็นความเข้าใจทั้งหมด  ส่วนนักเรียนแบบวิเคราะห์  (Analytic  Student)  จะต้องมีชีวิตที่สัมพันธ์กับรายละเอียด  กฎ  วิธีการ  และคำสั่ง  นักเรียนเหล่านี้จึงชอบความเฉพาะเจาะจง  และการเรียนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  แต่ในทางตรงกันข้าม  หากครูสอนเริ่มนำเข้าสู่เรื่องโดยการใช้การเล่าเรื่องที่ทำให้นักเรียนเกิดความสนใจอย่างมากในบทเรียน เช่น  เกร็ดประวัติ  เรื่องขำขัน  รูปภาพประกอบ  ตลอดจนสัญลักษณ์ และสามารถที่จะเติมเต็มช่องว่างด้วยข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้  ครูผู้นั้นก็มี “การสอนเชิงโลก” (Global  teaching)  และนักเรียนที่มีลักษณะการเรียนรู้เชิงโลก (Global  Student) นั้นจะชื่นชอบการเรียนรู้จากผลสุดท้าย หรือภาพรวมขนาดใหญ่ (Big picture)  หรือผลผลิตที่ได้เป็นอันดับแรก  จากนั้นจึงย้อนกลับไปวิเคราะห์ให้เห็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างๆ   (Dunn และ Dunn,1993: 101-102)  ซึ่งอาจยกตัวอย่างให้สอดคล้องกับการสอนภาษาไทย ในระดับช่วงชั้นที่ 3  (ม.3) เช่น การสอนแต่งคำประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ  ครูผู้สอนที่ถนัดเชิงวิเคราะห์จะให้พิจาณาแผนผังโครงสร้างของโคลงสี่สุภาพก่อน  โดยมุ่งเสนอจำนวนวรรค  คำเอก คำโท  หรือข้อมูลที่เป็นตัวเลข ตำแหน่ง  ตลอดจนเสนอการเชื่อมโยงของสัมผัส  แต่ครูที่สอนในเชิงโลกนั้น  จะนำด้วยการอ่านทำนองเสนาะโคลงสี่สุภาพ  หรือร้องเพลงที่แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ (เช่นเพลงสยามมานุสสติ) ให้นักเรียนฟัง  เพื่อให้นักเรียนเห็นภาพรวมของโคลงสี่สุภาพแล้วจึงค่อยไปพิจารณาความสัมพันธ์ทางด้านโครงสร้างของฉันทลักษณ์

ส่วนนักเรียนแบบวิเคราะห์นั้น  จะพึงพอใจที่ได้เรียนรู้หลักการ กฎหรือโครงสร้างโดยทันที  เช่นนักเรียนที่มุ่งศึกษาฉันทลักษณ์  โดยไม่สนใจกิจกรรมที่เร้าความสนใจ เช่น เกร็ดประวัติ  เรื่องตลก เรื่องเล่า เพลง หรืออื่นๆ  แต่ในทางตรงกันข้าม นักเรียนที่มีลักษณะเชิงโลกนั้น  จะชื่นชอบหรือสนใจเพลงที่แต่งด้วยโคลงสี่สุภาพ  หรือเกร็ดประวัตินักแต่งโคลงสี่สุภาพที่โลดโผนอย่างศรีปราชญ์  โดยเมื่อได้ทำหรือได้รับฟังแล้วจะมุ่งสนใจหาความสัมพันธ์ของฉันทลักษณ์ของโคลงสี่สุภาพต่อไป  สำหรับลักษณะการสอนของครูข้างต้นทั้งที่เป็นเชิงวิเคราะห์และเชิงโลกนี้  แท้จริงแล้วทั้งสองวิธีไม่มีวิธีใดที่ดีไปกว่ากัน  หากขึ้นอยู่กับการจับคู่กันอย่างเหมาะสมระหว่างลักษณะการสอนของครูกับลักษณะการเรียนของผู้เรียน  ซึ่งครูจะต้องรู้จักสังเกตตนเองว่าเป็นผู้มีลักษณะการสอนแบบใด  และนักเรียนชั้นที่จะสอนนั้นส่วนใหญ่มีลักษณะการเรียนอย่างไร  (Dunn และ Dunn,1993: 102)    เพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

แนวทางการสอนนักเรียนเชิงโลก  มีดังต่อไปนี้  (Dunn และ Dunn,1993: 102-104)

1.  เครื่องมือในการนำ  (Introducing  material)  :  เริ่มต้นบทเรียนด้วยการใช้เรื่องราว  เกร็ดสาระประวัติ  เหตุการณ์เด่นๆ  หรือเรื่องขำขัน  ที่มีความสัมพันธ์ทางตรงกับเนื้อหาที่กำลังจะสอน  ถ้าเป็นไปได้  ควรเป็นการนำที่มีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ของนักเรียน  แต่หากไม่สามารถปฏิบัติได้  ควรเป็นการนำที่มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับนักเรียน  ตัวอย่างเช่น  ในเรื่องการสอนโคลงสี่สุภาพดังที่ได้ยกตัวอย่างไว้ตอนต้น  ครูอาจนำด้วยการอ่านโคลงที่ครูแต่ง  โดยนำชื่อและบุคลิกของนักเรียนในชั้นมาเป็นเนื้อหาของโคลง   ฟังเพลงสยามมานุสสติที่นักเรียนค่อนข้างคุ้นเคย  หรือ ครูให้นักเรียนดูภาพยนตร์สุริโยทัยช่วงท้ายเรื่อง  แล้วอ่านโคลงภาพพระราชพงศาวดาร  ( วรรณคดีและวรรณกรรมในช่วงชั้นที่ 3 ม.2 )  ให้นักเรียนฟังเพื่อเสริมอารมณ์ เป็นต้น

2.  การค้นพบจากการเรียนรู้ด้วยกลุ่ม ( Discovery  through  group  learning)  : ครูควรหลีกเลี่ยงที่จะบอกข้อเท็จจริงแก่นักเรียนโดยตรง  โดยใช้การแก้ปัญหาข้อมูลด้วยตัวของพวกเขาแทน  ในการทำกิจกรรมนี้   ครูต้องแนะนำให้นักเรียนแบ่งเป็นกลุ่มย่อย  ซึ่งจะดีกว่าการทำงานคนเดียว  โดยส่วนใหญ่แล้ว  นักเรียนเชิงโลกจะสามารถทำงานได้ถ้าไม่มีบรรยากาศของการข่มขู่  และมีความสนุกสนานที่จะแก้ปัญหาร่วมกับผู้อื่น  ซึ่งสำหรับวิชาภาษาไทยแล้ว  ควรส่งเสริมให้เกิดการทำกิจกรรมกลุ่ม  เช่น  การร่วมกันศึกษาวิเคราะห์ตัวละครในวรรณคดี  การร่วมกันทำโครงงานภาษาไทย  เป็นต้น

3.  การเขียนและการสัมผัส  (Written  and  tactual  involvement) : ในการสนับสนุนให้นักเรียนเชิงโลกคิดด้วยตนเอง หรือคิดเป็นกลุ่ม  ครูจะต้องให้รายละเอียดข้อมูลใหม่ๆ เช่น  กราฟ  แผนที่ แผนภูมิ  ซึ่งการแสดงให้เห็นด้วยภาพนั้น  นักเรียนจะมีแน้วโน้มที่จะวาดความหมายจากรูป  ภาพถ่าย  สัญลักษณ์  รวมถึงการนำเสนอด้วยภาพต่างๆ   สำหรับในวิชาภาษาไทย  ในกลุ่มสาระวรรณคดีและวรรณกรรม  ครูควรนำภาพวรรณคดีหรือตัวละครต่างๆ  มาให้นักเรียนชม  หรือหากศึกษาโคลงโลกนิติ ก็จัดกิจกรรมทัศนศึกษาวัดพระเชตุพน ฯ เพื่อให้นักเรียนได้ไปชมจารึกเป็นต้น

แนวการสอนนักเรียนเชิงวิเคราะห์   มีดังต่อไปนี้  (Dunn และ Dunn,1993: 104-105)

1.  การอธิบายและการเสริมแรงที่มองเห็นได้  (Explanations  and  visual  reinforcement)  ครูจะต้องนำอธิบายวิธีการหรือขั้นตอนและเข้าสู่วัตถุประสงค์เฉพาะ  โดยเขียนคำสำคัญที่ครูพูดบนกระดาน  แล้วตอบคำถามที่ได้รับโดยชัดแจ้งและตรงประเด็นทันที  รวมทั้งจะต้องใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ประกอบด้วย  ตัวอย่างเช่น  การสอนเรื่องชนิดคำไทย  ครูจะต้องนำเสนอคำสำคัญบนกระดาน เช่น

สามานยนาม  วิสามานยนาม  อาการนาม  สมุหนาม  และลักษณะนาม  จากนั้นอธิบายคำนั้นๆอย่างชัดเจน

2.  การกำหนดทิศทาง  (Direction)  : ครูจะต้องเสนอภาระงาน  การบ้าน  คำสั่ง

วันสอบและวัตถุประสงค์เฉพาะไว้ในเอกสารทบทวนซึ่งต้องจัดเตรียมไว้สำหรับแต่ละคน  แต่หากมีกระดาษไม่เพียงพอ  ครูก็จะต้องเขียนจดรายการไว้เป็นแผนภูมิและให้นักเรียนบันทึกไว้  ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือการสอนในระดับอุดมศึกษาที่ผู้เรียนจะได้รับประมวลรายวิชา  (Course  Syllabus) เป็นลำดับแรก  เพื่อให้สามารถจัดลำดับภาระงานต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

3.  การเรียนรู้โดยการสอนทางตรง หรือสัมพันธ์กับแหล่งทรัพยากร (Learning  through  direct  teaching  or  related  resources)  :  ครูต้องสอนไปทีละขั้นตอนโดยผ่านรายละเอียดที่จะสามารถย่อยและซึมซับเพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือจนกระทั่งเกิดทักษะ   เขียนคำสำคัญลงบนกระดาน แจกสำเนาเอกสารหรือวัสดุที่ทุกคนจะได้เหมือนกัน  ขีดเส้นใต้เพื่อแยกส่วนที่สำคัญ  ตรวจการบ้านและสมุดบันทึกทุกวัน  สอนนักเรียนเกี่ยวกับวิธีการใช้ห้องสมุด  และวิธีการค้นหาและใช้วัสุดุอุปกรณ์เสริมทางตรงที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์เฉพาะ  ยกตัวอย่างเช่น   การเรียนการสอนแบบโครงการ  ที่นักเรียนจะต้องเรียนรู้ลำดับขั้นตอนการทำโครงการเสียก่อนซึ่งอาจศึกษาจากเอกสาร  จากนั้นจึงเข้าศึกษาแหล่งทรัพยากรหรือข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆเป็นลำดับต่อไป

4.  การทดสอบและผลตอบกลับ (Testing  and  feedback)  : ครูจะต้องทดสอบนักเรียนบ่อยครั้ง  จากนั้นจะต้องเตรียมผลการตอบกลับเกี่ยวกับรายละเอียดของผลการสอบโดยเร็วที่สุด  รวมทั้งจะต้องสามารถตอบสนองต่อคำถามทันทีที่เป็นไปได้  นอกจากนี้จะต้องจดบันทึกความคาดหวังหรือความต้องการในกรณีที่ให้การบ้านหรืองาน  จากนั้นให้พิจารณางานทั้งหมด  ก่อนจะแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าจะสอบ

กล่าวโดยสรุป  การนำเข้าสู่บทเรียนจะประสบความสำเร็จหรือไม่  ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ลักษณะของผู้เรียนว่ามีลักษณะการเรียนรู้เช่นใด  และมีความสามารถในการเรียนรู้อยู่ในระดับใด  ผู้สอนก็ควรใช้ลักษณะการนำและสอนที่สอดคล้องกับนักเรียนลักษณะเช่นนั้น  ตัวอย่างเช่น  หากสอนภาษาไทยในโรงเรียนที่นักเรียนมีความสามารถสูง  เช่น โรงเรียนวิทยาศาสตร์  ครูต้องเน้นการนำเสนอกฎ  ทฤษฎีทางไวยากรณ์ หรือวรรณคดี  โดยมุ่งให้นักเรียนวิเคราะห์เนื้อหาและทดสอบอย่างเป็นขั้นตอน  แต่หากเป็นนักเรียนที่สนใจทำกิจกรรม  ก็ควรใช้การนำที่หลากหลาย นอกเหนือจากสาระการเรียนรู้เพื่อเร้าให้เกิดความสนใจ  เช่นการพิจารณาภาพ        การเล่าเรื่อง  การแสดงบทบาทสมมติ หรือการร้องรำทำเพลง จากนั้นจึงส่งเสริมให้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม

       

   2.  เทคนิคการสอนการคิด

                  

                   การคิดเป็นทักษะที่ค่อนข้างมีความซับซ้อนเพราะประกอบด้วยทักษะหลายทักษะประกอบกัน  แม้จะยังมีความไม่เข้าใจในเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการภายในสมองและองค์ประกอบต่างๆ  แต่นักการศึกษาและสังคมก็เชื่อว่า  การคิดนั้นเป็นทักษะที่สามารถสอนได้  และโรงเรียนควรที่จะสอนด้วย  พวกเขาเชื่อว่าการสอนทักษะของการคิดนั้น  เร่งให้เกิดการพัฒนาจิตใจและสร้างนักเรียนให้เป็นผู้ที่สามารถพึ่งตนเอง  มีความคิดสร้างสรรค์  และเป็นมีคุณลักษณะเป็นผู้ผลิต  (Myers และ Myers, 1995: 424)   ซึ่งตัวอย่างของทักษะการคิดได้แก่  การแก้ปัญหา  ( Problem soving )  และ การสร้างมโนทัศน์ ( Conceptualizing )  ซึ่งการคิดทั้งสองแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ตลอดเวลา   ในที่นี้จะเสนอเทคนิควิธีการสอนคิดแบบแก้ปัญหาซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้

การแก้ปัญหา  ( Problem soving )  :  คือการที่คนต้องเผชิญกับสิ่งที่สร้างความยุ่งยากและจะต้องแก้ไขให้ผ่านพ้น  โดยการแก้ปัญหานั้นเป็นเรื่องที่สามารถสอนได้  และคนสามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกหัด  ดังนั้น  การแก้ปัญหาจึงสามารถสอนในโรงเรียนได้  ซึ่งจะมีลักษณะคือ  ครูนำเสนอปัญหาแก่นักเรียนและมุ่งพิจารณาว่า  นักเรียนคิดต่อปัญหานั้นอย่างไรมากกว่าที่จะพิจารณาว่านักเรียนคิดอะไร  โดยครูใช้ธรรมชาติเกี่ยวกับความต้องการของนักเรียนที่เป็นแรงจูงใจ  และช่วยให้นักเรียนตีความปัญหาในหนทางที่

สอดคล้องกับตัวนักเรียนเอง  แล้วพัฒนาสมมติฐานเกี่ยวกับวิธีแก้  ทดสอบ และประเมินผล  ครูจึงเป็นผู้นำทางปัญญานักเรียนและสนับสนุนจินตนาการให้นักเรียนสามารถมีความคิดรับมือกับสถานการณ์ใหม่ๆได้  (Myers และ Myers, 1995: 426)

วิธีการสอนแก้ไขที่มีชื่อเสียงมาก  มีมาเมื่อนานแล้วโดยแนวคิดของ ริชาร์ด  ซัคแมน ( Richard  Suchman )  ในการออกแบบรูปแบบของเขา  ซัคแมนได้วิเคราะห์ว่านักวิจัยที่ได้รับทุนนั้นมีวิธีการแก้ปัญหาของพวกเขาอย่างไร  ซึ่งได้มีการปรับมาใช้ให้มีความหมายมากขึ้นในการเรียนการสอน  และพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้กับครูไว้สำหรับแนะนำนักเรียนให้เรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน (Myers และ Myers, 1995: 427)  โดยจะได้ยกตัวอย่างประกอบการศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย  เรื่อง การศึกษาลักษณะคำประพันธ์ของบทละครร้องเรื่อง  “มัทนะพาธา”  ซึ่งเป็นบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งเป็นวรรณคดีในช่วงชั้นที่ 4 ม.5  โดยมีรายละเอียดดังนี้

ขั้นที่  1  :  นำเสนอปัญหา  ( Presenting  the problem)

ครูนำเสนอปัญหาแก่นักเรียน ซึ่งปัญหานี้จะต้องไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนในทันที (การนำเสนออาจผ่านการสังเกตปัญหาที่สังเกตได้จริง เช่น พิจารณาจากสถานการณ์  ภาพยนตร์  รูปภาพหรือเรื่อง  )  โดยในการสอนเรื่องลักษณะคำประพันธ์ในมัทนะพาธา  อาจเสนอโดยการอ่านออกเสียงบทประพันธ์ให้นักเรียนฟัง  และกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจว่าคำประพันธ์ที่ครูอ่านมีลักษณะคำประพันธ์อย่างไร

ขั้นที่  2  :  รวบรวมและตรวจสอบข้อมูล (Collecting  and verifying data)

ครูช่วยนักเรียนตรวจสอบธรรมชาติของปัญหา  โดยการตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลบนวัตถุประสงค์  เงื่อนไข  และเหตุการณ์ของปัญหาแต่มิใช่การตอบแบบ ใช่ หรือ ไม่ใช่  ซึ่งจากในขั้น 1  ครูให้นักเรียนตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับคำประพันธ์ประเภทต่างๆ  เช่น อ่านในเอกสารการเรียนรู้  ถามคำถามครู หรือค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ

ขั้นที่  3  :  ทำการทดลองกับข้อมูล (Experimenting with data)

ครูจะต้องสนับสนุนให้ผู้เรียนแยกแยะตัวแปรที่สนใจเฉพาะ  และค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา  และนักเรียนเริ่มพัฒนาสมมติฐาน  ซึ่งเมื่อมาถึงขั้นนี้นักเรียนต้องมุ่งศึกษาคำประพันธ์ประเภท “ฉันท์” และตรวจสอบกับเนื้อหาวรรณคดีมัทนะพาธา

ขั้นที่  4  :  ตั้งสมมติฐาน (Formulating a hypothesis)

ครูแนะนำนักเรียนเพื่อพัฒนาสมมติฐานที่จะอธิบายปัญหา  ซึ่งสำหรับกิจกรรมนี้  นักเรียนอาจตั้งสมมติฐานว่า “วรรณคดีเรื่องมัทนะพาธาแต่งขึ้นด้วยฉันท์หลายชนิด  รวมทั้งมีฉันท์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าคิดขึ้นด้วยพระองค์เองด้วย  ทรงแต่งขึ้นเพื่อให้เป็นบทละครร้อง”

ขั้นที่  5  :  ประเมินสมมติฐาน  (Evaluating  the  hypothesis)

ครูชี้แจงส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์ในสมมติฐานของนักเรียน  และสนับสนุนให้นักเรียนได้ตรวจสอบและประเมินสมติฐาน  เช่นจากในข้อ 4  ครูอาจแนะนำว่าในส่วน  “ทรงแต่งขึ้นเพื่อให้เป็นบทละคร

ร้อง”  นั้นอาจเกินขอบเขตของปัญหาที่ครูนำเสนอเพราะเป็นประเภทของการบทละคร  ในที่นี้นักเรียนจึงต้องศึกษาเฉพาะคำประพันธ์ประเภทฉันท์ในบทละครเรื่องมัทนะพาธาเท่านั้น

ขั้นที่  6  :  วิเคราะห์กระบวนการแก้ปัญหา  (Analyzing  the  problem-solving  process)

ครูช่วยนักเรียนวิเคราะห์สิ่งที่นักเรียนจะต้องแก้ในปัญหานั้นๆ  โดยใช้กระบวนการกระทั่งกลายมาเป็นทักษะในที่สุด  ในที่นี้คือ นักเรียนต้องวางแผนศึกษาคำประพันธ์ประเภทฉันท์  จากเอกสารประกอบการเรียนรู้  และจากแหล่งการเรียนรู้อื่นๆ  จากนั้นนำมาศึกษาวิเคราะห์คำประพันธ์ในบทพระราชนิพนธ์มัทพาธา  และจัดทำมาเป็นชิ้นงานซึ่งอาจอยู่ในรูปโครงงาน  รายงาน  บันทึก  สิ่งประดิษฐ์หรือโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆเพื่อนำเสนอผลสัมฤทธิ์ที่เกิดจากการแก้ปัญหาเรื่องลักษณะคำประพันธ์ประเภทฉันท์ในวรรณคดีเรื่องนี้ในที่สุด

การสอนให้เกิดทักษะการคิดโดยการใช้การแก้ปัญหา  ยังสามารถนำไปใช้ในการสอนภาษาไทยในส่วนของทักษะภาษาและผลที่ได้ก็ย่อเกิดเป็นชิ้นงานหรืออาจถึงขั้นเป็น “นวัตกรรม”  ในการเรียนการสอนได้ เช่น  การหาสาเหตุปัญหาการอ่านทำนองเสนาะโดยการวิเคราะห์ด้วยแถบบันทึกเสียง

การพัฒนาการเขียนอันเนื่องมาจากการไม่มีลำดับความคิดโดยการใช้อุปกรณ์ เช่น การใช้แผนภาพความคิด    การเพิ่มประสิทธิภาพการดูโดยใช้อุปกรณ์ช่วยดู  เช่น กล้องบันทึกภาพ  สมุดสำหรับร่างภาพ  เป็นต้น  การสอนด้วยวิธีนี้จึงช่วยทำให้ครูภาษาไทยสามารถยกระดับการพัฒนานักเรียน  จากระดับเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าและสุนทรียรส  เป็นระดับที่ก่อเกิดปัญญาและเห็นคุณค่าในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ

3.  เทคนิคการจัดบรรยากาศห้องเรียน

การจัดบรรยากาศห้องเรียนมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการประสบความสำเร็จของผู้เรียน  การจัดระบบรูปแบบที่ผลคือนักเรียนมีความรู้สึกว่ากระทำได้  รวมทั้งมีความรู้สึกปลอดภัยนั้น ดูเหมือนว่าสามารถสร้างนักเรียนผู้ที่จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น  ห้องเรียนที่มีบรรยากาศดังกล่าวจะต้องมีลักษณะดังนี้  (Jacobsen  Paul และ  Dulaney, 1981: 234)

1.จะต้องรักษาความสมดุลระหว่างคำสั่งหรือวิธีการของครูกับทางเลือกของนักเรียน  ตัวอย่างเช่น  ครูมีจุดประสงค์ให้นักเรียนพูดสุนทรพจน์ให้ได้  แต่การพูดสุนทรพจน์เป็นการพูดขั้นสูง  ดังนั้นครูควรเปิดโอกาสให้นักเรียนฝึกพูดเบื้องต้นเสียก่อน  และให้นักเรียนได้เลือกตามความสนใจ  เช่น  พูดแนะนำตัว  พูดแนะนำสินค้า  กล่าวต้อนรับ  กล่าวขอบคุณ  เป็นต้น  จากนั้นจึงพัฒนาการพูดไปสู่การพูดสุนทรพจน์

2. มีการเตรียมวิธีการที่เฉพาะเจาะจงและมีความชัดแจ้ง  คือเป็นห้องเรียนที่มีสื่อและอุปกรณ์

พร้อม  สามารถนำเสนอและทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ในการเตรียมนี้หมายรวมถึงการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีวิธีการเฉพาะและชัดเจนในทุกขั้น   ยกตัวอย่างในการสอนต้องระบุว่าจะใช้การสอนแบบใด  เช่น  การสอนสัมมนาภาษาไทยปัจจุบัน  การอภิปรายกลุ่มย่อย ซึ่งต้องมีใบงานกำหนดขั้นตอนการทำงานที่ชัดเจน

3. มีการรักษาความอิสระจำนวนมากสำหรับนักเรียนที่จะคิดและมีวิธีการอันเป็นทางเลือกที่หลากหลาย  ครูต้องยอมรับความคิดที่ค่อนข้างอิสระของนักเรียน โดยเฉพาะจะปรากฏเมื่อตอบคำถาม  เช่น  นักเรียนอาจไม่ยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างพระอภัยมณีและนางเงือก  หรือเห็นว่าขุนแผนเป็นผู้นำครอบครัวที่ใช้ไม่ได้  เป็นต้น  ส่วนในเรื่องวิธีคิดนั้นอาจปรากฏในการทำกิจกรรม  เช่นการทำโครงการคติชนเกี่ยวกับความเชื่อในชุมชน  นักเรียนอาจเลือกใช้วิธีศึกษาจากเอกสาร  สอบถาม  สัมภาษณ์  หรือสังเกตข้อมูลที่สนใจศึกษาตามความถนัดและความสนใจได้

4.มีการเตรียมการอบรมทักษะระหว่างบุคคลกับบุคคล ทำให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่นักเรียนจะบรรลุเป้าหมายและได้เรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยม  ซึ่งในชั้นเรียนภาษาไทยเอง  ควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม  เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์และรู้จักจัดการความสัมพันธ์ของตนอย่างเป็นระบบ  ร่วมทั้งยังสามารถใช้วรรณคดีและวรรณกรรมต่างๆมาใช้เป็นบทสำหรับสังเกตประสบการณ์และขยายโลกทัศน์ของผู้เรียน  ที่จะเชื่อมโยงจากตนเองไปสู่สังคมและการเปลี่ยนแปลงของโลก  ซึ่งจะยิ่งทำให้ผู้เรียนสามารถใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ทางภาษาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

เทคนิคการสอนเท่าที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งของเทคนิคการสอนอีกเป็นจำนวนมาก    การศึกษาและการนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ในการเรียนการสอนภาษาไทย  จะช่วยสร้างเสริมสมรรถภาพการเป็นครูภาษาไทยให้ก้าวสู่ความเป็นวิชาชีพมากยิ่งขึ้น  แท้ที่จริงแล้วการสอนภาษาไทยได้เปรียบอยู่มากตรงที่เป็นการสอนที่มุ่งเน้นให้เกิดทักษะสัมพันธ์ทางภาษา ซึ่งผู้เรียนมีโอกาสขยายประสบการณ์ได้อย่างกว้างขวางหากครูใส่ใจ  โดยคำว่าใส่ใจในที่นี้คือการสนใจในรายละเอียดเล็กน้อยๆที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนา     การตอบคำถาม  การตอบสนองและความสนใจ เป็นต้น ด้วยรายละเอียดเหล่านี้แท้จริงแล้วก็คือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของนักเรียนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  หากครูใส่ใจนักเรียนก็จะทำให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ที่น่าทรงจำและเกิดเป็นการเรียนรู้อย่างถาวร

_____________________________________________________________

Related

ความคิดเห็น
^